10 สถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่

สำหรับเทรนด์การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ดูจะมุ่งเน้นไปที่สถานที่ ท่องเที่ยวแปลกๆใหม่ๆมากขึ้นสำหรับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ จะมีที่ไหนบ้าง จะใช่อย่างที่เราคิดไว้หรือเปล่าเราไปดูกันดีกว่า

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตรร์ยอดนิยมของโลก

ปราสาทเก่าแก่ในยุโรป


      ปราสาทเก่าแก่ทั่วยุโรปที่มีอยู่มากมายหลายพันแห่ง ทั้งที่เป็นปราสาทในยุคกลางและยุคบารอค ที่ล้วนแล้วแต่มีความสวยงามดุจปราสาทเจ้าหญิงในเทพนิยาย
               ในยุคแรกๆ ปราสาทของชาวยุโรปสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นป้อมปราการ  และ
สถานที่มั่นสำหรับโจมตีข้าศึกในกรณีที่เกิดสงคราม แต่ในยุคหลังๆ มีการสร้างปราสาท
ที่หรูหราเพื่อใช้เป็นบ้านพักของชนชั้นสูง ขุนนาง และเหล่ากษัตริย์ อันเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง และบ่งบอกถึงสถานะทางสังคมของผู้เป็นเจ้าของ
               ประสาทเก่าแก่ในยุโรปที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม และเป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวมีอยู่มากมายหลายแห่งด้วยกัน  อาทิ ปราสาท Neuschwanstein (นอยชวานชไตน์) ในประเทศเยอรมนี พระราชวังแวร์ซายส์ ในประเทศฝรั่งเศส ปราสาท Blarney (บลาร์นีย์) ในสาธารณรัฐไอร์แลนด์ พระราชวัง Sintra (ซินตร้า) ในประเทศโปรตุเกส พระราชวัง Topkapi  (ท็อปกาปิ) ในประเทศตุรกี ปราสาท Prague (ปราก) ในสาธารณรัฐเช็ก และ ปราสาท Leeds (ลีดส์) ในประเทศอังกฤษ เป็นต้น


สโตนเฮนจ์



        "สโตนเฮนจ์" หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางที่ราบ "ซัลลิสเบอร์รี่" บริเวณตอนใต้ของอังกฤษประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน
            สโตนเฮนจ์ เป็นกลุ่มหินประหลาด ที่ยังไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการก่อสร้างอย่างแน่ชัด และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่าน่าจะถูกสร้างราว 5,000 ปีก่อน จึงเป็นที่สงสัยว่าคนในยุคนั้นยกแท่งหินที่มี
น้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันโดยปราศจากเครื่องทุ่นแรงได้อย่างไร  และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือ บริเวณที่ราบดังกล่าวไม่มีก้อนหินชนิดนี้ จึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น โดยคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ซึ่งอยู่ห่างออกไปราว 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว
           ด้านวัตถุประสงค์ในการสร้าง ก็มีการถกเถียงกันหลายประเด็น แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือ การใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาของกลุ่มชนที่นับถือลัทธิดรูอิท รองลงมาคือความเชื่อที่ว่า เป็นสถานที่สังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทางดาราศาสตร์ เช่น สุริยุปราคา เป็นต้น

ปราสาทหินนครวัด



      ปราสาทหินนครวัด ตั้งอยู่ที่เมืองเสียมราฐ (เสียมเรียบ) ประเทศกัมพูชา สร้างในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 เพื่อเป็นศาสนสถานประจำนครของพระองค์ ในยุคแรกนครวัดได้ถูกสร้างให้เป็น เทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไวษณพนิกาย ซึ่งในเวลาต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้เปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน  
             ปัจจุบันปราสาทหินนครวัดนับเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา และได้รับลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลก นครวัดพื้นที่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีการออกแบบแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม ประกอบด้วยปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีกำแพงด้านนอกยาวด้านละ 1.5 กิโลเมตร และมีคูน้ำล้อมรอบตามแบบมหาสมุทรบนสวรรค์ที่ล้อมรอบเขาพระสุเมรุ   

           ปราสาทหินนครวัด ใช้หินในการก่อสร้างรวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า 40,000 เชือก และแรงงานคนนับแสนในการขนหินและชักลากมาจากเขาพนมกุเลน ชึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 50 ก.ม. นครวัด มีเสาทั้งหมด 1,800 ต้น หนักต้นละกว่า 10 ตัน ใช้เวลาในการก่อสร้างร่วม 100 ปี ใช้ช่างแกะสลักจำนวน 5,000 คน และใช้เวลาในการแกะสลักหินทั้งหมดเป็นเวลา 40ปี



 กำแพงเมืองจีน

          กำแพงเมืองจีน เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ถูกสร้างขึ้นกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ จักรพรรดิ์องค์แรกในประวัติศาสตร์จีน จุดประสงค์เพื่อป้องกันการรุกรานจากชนเผ่าทางตอนเหนือ และมีการก่อสร้างเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ โดยกษัตริย์องค์ต่อๆ มาจนกระทั่งแล้วเสร็จในที่สุด (แต่กำแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง)
        กำแพงเมืองจีน เป็นกำแพงอิฐที่มีป้อมคั่นเป็นช่วงๆ ทุก 300 ถึง 500 หลา มี ความสูงประมาณ 7 เมตร และกว้างประมาณ 5 เมตร ปัจจุบัน ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริง แต่ในภาษาจีนจะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" หรือมีความยาวประมาณ 6,350 กิโลเมตร
      กล่าวกันว่า กำแพงเมืองจีนเปรียบเสมือนสุสานของผู้ก่อสร้าง เนื่องจากมีนักโทษสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกใช้เป็นแรงงานก่อสร้าง ซึ่งแรงงานเหล่านี้ได้เสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย และหิวโหยเป็นจำนวนมาก และศพของพวกเขาก็ถูกฝังอยู่ใต้กำแพงนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ กำแพงเมืองจีนจึงมีอีกฉายาหนึ่งว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก และทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงเมืองจีน ก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้าง

Machu Picchu (มาชู ปิคชู)


 

       "มาชู ปิคชู" หรือ "เมืองสาบสูญแห่งอินคา" เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาและหน้าผาสูงชัน ที่มีความสูงประมาณ 2,350 เมตรในเขตประเทศเปรู อารยธรรมแห่งนี้ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก จนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อปี 1911 (พ.ศ. 2454)  
     มา ชู ปิคชู สร้างขึ้นในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของอินคามีลักษณะเป็นเมืองโบราณที่ซุกตัวอยู่บนยอดเขาสูง และมีแม่น้ำอารูบันอยู่เบื้องล่าง ภูมิประเทศของ มาชู ปิคชู รายล้อมด้วยหน้าผาสูงราว 600 เมตร ทำให้ยากต่อการเข้าถึง และเป็นเกราะป้องกันการรุกรานจากข้าศึกได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงมีข้อสงสัยว่าชาวอินคานำหินก้อนใหญ่ขึ้นไปสร้างเมืองที่อยู่ สูงเสียดฟ้า และเต็มไปด้วยหน้าผาสูงชันได้อย่างไร
     สิ่งก่อสร้างต่างๆใน มาชู ปิคชู ประกอบด้วย อาคารที่อยู่อาศัย อุโมงค์ อ่างเก็บน้ำ ระบบชลประทาน การปล่อยน้ำตามคลองเล็กๆ เพื่อการเกษตร หรือการทำนาเกลือเก่าแก่แบบขั้นบันได หอคอยสำหรับการเฝ้ามองดูผู้รุกราน การสร้างถนน สิ่งก่อสร้างตามไหล่เขาที่ไล่ระดับเป็นขั้นๆ และซากกำแพงหินแกรนิตสีขาว ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถทางด้านสถาปัตยกรรมของชาวอินคาในยุคนั้นได้อย่างน่าทึ่ง
    อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้นักพิสูจน์หลักฐานทางโบราณคดีได้ออกมาระบุว่า มาชู ปิคชูไม่ได้เป็นเมืองสำหรับอยู่อาศัยธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการสร้างที่พักอาศัย (คล้ายบ้านพักตากอากาศ) ของผู้ดีชาวอินคา พื้นที่โดยส่วนใหญ่ในบริเวณดังกล่าวเป็นปราสาทและวัดที่สร้างขึ้นเพื่อถวาย แด่เทพเจ้า ขณะที่สิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ก็สร้างขึ้นสำหรับผู้ดูแลศาสนสถาน ทั้งยังสันนิษฐานว่า มีประชากรอาศัยอยู่ที่นี่คราวละไม่เกิน 750 คน โดยจะขึ้นมาอยู่ที่มาชู ปิคชู กันเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

วิหารพาร์เธนอน




         วิหารพาร์เธนอน คือ วิหารโบราณบนเนินอะโครโพลิส* ในกรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ สร้างเพื่อเป็นศาสนสถานบูชาเทพีเอเธนา หรือเทพีแห่งปัญญา ความรอบรู้ ราวๆ กลางศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นสถาปัตยกรรมกรีกโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุด และถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดกว้าง 101.4 ฟุต หรือ 30.9 เมตร และ ยาว 228.0 ฟุต หรือ 69.5 เมตร
        วิหารพาร์เธนอนสร้างขึ้นในสมัยของเพริเคิล ผู้นำกรุงเอเธนส์ในสมัยนั้น โดยมีประติมากรฟีเดียสเป็น ผู้ควบคุมงาน พาร์เธนอนยังคงเป็นวิหารมากกว่าพันปีนับจากเสร็จสิ้นการก่อสร้าง หลังจากนั้น จึงกลายเป็นโบสถ์คริสเตียน ในปี ค.ศ. 1456 เอเธนส์ตกเป็นของจักรวรรดิออตโตมัน พาร์เธนอนจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นสุเหร่า และกลายเป็นสถานที่ทางศาสนาและวัฒนธรรมต่างๆ ในเวลาต่อมา

 ทัชมาฮาล



            ทัชมาฮาล นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ตั้งอยู่ในสวนริมฝั่งแม่น้ำยมุนา ในเมืองอัครา ถูกสร้างขึ้นช่วงปี ค.ศ. 1632-1653 (พ.ศ. 2175-2196) โดยพระเจ้าชาห์ ชหาน กษัตริย์อินเดียผู้มีรักมั่นคงต่อพระมเหสี มุมตัซ มาฮาล ของพระองค์
         ทัชมาฮาล คือ สุสานหินอ่อนที่ได้ชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่งความรักที่สวยที่สุดในโลก สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ศิลาแลง ประดับลวดลายเครื่องเพชร พลอย หิน โมรา และเครื่องประดับจากทั้งในอินเดีย และประเทศต่างๆ ในแถบเอเชีย กว้างยาวด้านละ 100 เมตร สูง 60 เมตร ใช้คนงานในก่อสร้างมากถึง 20,000 คน รวมระยะเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น 22 ปี

                                                           นครเปตรา



       นครเปตรา คือ นครหินแกะสลักโบราณที่ซ่อนตัวอย่างลึกลับในหุบเขาวาดี มูซา ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทะเลสาบเดดซีและทะเลอัคบาในประเทศจอร์แดน นครนี้แต่เดิมนั้นเป็นนครแห่งการค้าขนาดใหญ่ ต่อมาได้ถูกละทิ้งเป็นเวลานานกว่า 700 ปี กระทั่งมีนักสำรวจชาวสวิตเซอร์แลนด์ที่ชื่อ นายโยฮันน์ ลุควิก บวร์กฮาร์ท เดินทางผ่านมาพบเห็นเข้า เมื่อปี พ.ศ. 2355 (ค.ศ. 1812)
    นครเปตราได้รับการขึ้นทะเบียนทะเบียน จากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528 และยังได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

 กรุงโรม




        กรุงโรม นครเก่าแก่ที่ปัจจุบันเป็นเมืองหลวง และเมืองใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ทางตอนกลางของประเทศ 
                    ภายในกรุงโรม มีแหล่งโบราณสถาน ซึ่งประกอบด้วยสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ และสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงหลายแห่งด้วยกัน อาทิ
             - โคลอสเซียม (Colosseum) สนาม กีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน สร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทราย วัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร จุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ซึ่งถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน(โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น 1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ที่ผ่านมา)   
                   - ประตูชัยคอนสแตนติน สัญลักษณ์แห่งชัยชนะและที่มาของ “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” 
                   - โรมัน ฟอรั่ม
                   - วิหารแพนธีออน
               - น้ำ
พุเทรวี่ จุดกำเนิดของเสียงเพลง “ทรีคอยน์ออฟเดอร์ฟาวด์เท่น” ที่โด่งดัง ชมความสวยงามของงานประติมากรรมหินอ่อนแบบบาร็อค ซึ่งเป็นเรื่องราวของเทพมหาสมุทร ตามตำนานกล่าวไว้ว่าหากใครได้มาถึงน้ำพุแห่งนี้แล้วโยนเหรียญอธิษฐานทิ้งไว้ จะได้กลับมาเยือนกรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง 
              - เซอร์คัส แมกสิมุส สนามประลองการต่อสู้และการแข่งรถ ซึ่งเมื่อปิดหัวท้ายก็อาจเติมน้ำเข้ามาใช้เป็นสถานที่แข่งเรือได้ 

                                                               อียิปต์

                                                       
    สาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ มีชื่อเสียงในด้านอารยธรรมโบราณ รวมถึงอนุสาวรีย์โบราณที่น่าตื่นตาที่สุดในโลก ได้แก่ พีระมิด อารามคาร์นัค และหุบเขากษัตริย์ (Valley of the Kings) ปัจจุบัน อียิปต์เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรมของโลกอาหรับ
    ในขณะที่อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ทางตอนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์ อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นประมาณ 3150 ปีก่อนคริตศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมเรื่อยมากว่า 3,000 ปี
      ชาวอียิปต์โบราณไม่ได้เป็นเพียงแต่นัก เกษตรกรรม และนักสร้างสรรค์อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิด, นักปรัชญา ได้มาซึ่งความรู้ในศาสตร์ต่างๆมากมายตลอดการพัฒนาอารยธรรมกว่า 3,000 ปี ทั้งในด้านคณิตศาสตร์, เทคนิคการสร้างพีระมิด, วัด, โอเบลิสก์, ตัวอักษร และเทคนิคโลยีด้านกระจก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการแพทย์, ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม อียิปต์ทิ้งมรดกสุดท้ายแก่อนุชนรุ่นหลังไว้คือศิลปะ และสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกคัดลอกนำไปใช้ทั่วโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น